แนวข้อสอบพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔
*************************
1. พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันใด
ก. ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ ค. ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔
ข. ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๕ ง. ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๕
ตอบ ข. ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๕
มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๕เป็นต้นไป
2. ข้อใดคือ "ไม้ไหลลอย"
ก. บรรดาของที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติ
ข. ไม้ที่ได้แปรรูปแล้วแต่ไม่หมายถึงไม้ที่ได้ทำเป็นเครื่องใช้หรือสิ่งของอื่นหรือประกอบ เข้ากับเครื่องใช้หรือสิ่งของอื่นแล้ว
ค. ไม้ต้น ไม้ซุง ไม้ท่อน ไม้เสา ไม้เข็ม ไม้หลัก ไม้เหลี่ยม ไม้กระดาน ซึ่งเป็นไม้หวงห้าม ที่ได้ไหลลอยโดยปราศจากการควบคุม
ง. ไม้สักและไม้อื่นทุกชนิด ที่เป็นต้น เป็นกอ เป็นเถา รวมตลอดถึงไม้ไผ่ทุกชนิด ปาล์ม หวาย ตลอดจนราก ปุ่ม ตอ เศษปลายและกิ่งของสิ่งนั้นๆไม่ว่าจะได้ถูกตัดตอนเลื่อยผ่าถากขุดหรือกระทำโดยประการอื่นใด
ตอบ ค. ไม้ต้น ไม้ซุง ไม้ท่อน ไม้เสา ไม้เข็ม ไม้หลัก ไม้เหลี่ยม ไม้กระดาน ซึ่งเป็นไม้หวงห้าม ที่ได้ไหลลอยโดยปราศจากการควบคุม
3. "ของป่า" หมายความว่าอย่างไร
ก. บรรดาของที่คนทำตกหล่นอยู่ในป่า
ข. บรรดาของที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติ
ค. บรรดาของที่อยู่ในป่าที่คนสร้างไว้
ง. ที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน
ตอบ ข. บรรดาของที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติ
4. ข้อใด ไม่ใช่ ของป่า
ก. รังนก ค. แร่
ข. ยางไม้ ง. เป็นของป่าทุกข้อ
ตอบ ง. เป็นของป่าทุกข้อ
"ของป่า" หมายความว่า บรรดาของที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติ คือ
ก. ไม้ รวมทั้งส่วนต่าง ๆ ของไม้ ถ่าน น้ำมันไม้ ยางไม้ ตลอดจน สิ่งอื่น ๆ ซึ่งเกิดจากไม้
ข. พืชต่าง ๆ ตลอดจนสิ่งอื่น ๆ ซึ่งเกิดจากพืชนั้น
ค. รังนก ครั่ง รวงผึ้ง น้ำผึ้ง มูลค้างคาว
5. เงินค่าธรรมเนียมซึ่งผู้ทำไม้หรือเก็บหาของป่าจะต้องเสียตามความในพระราชบัญญัตินี้ คืออะไร
ก. เงินภาษี ค. เงินได้
ข. ค่าภาคหลวง ง. เงินภาคหลวง
ตอบ ข.ค่าภาคหลวง
"ค่าภาคหลวง"หมายความว่าเงินค่าธรรมเนียมซึ่งผู้ทำไม้หรือเก็บหาของป่าจะต้องเสียตามความในพระราชบัญญัตินี้
6. ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตทำไม้ที่ไม่มีรอยตราอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ประทับไว้เว้นแต่จะได้มีข้อความระบุอนุญาตไว้ในใบอนุญาต ถูกกล่าวไว้ในมาตราใด
ก. มาตรา 10 ค. มาตรา 12
ข. มาตรา 8 ง. มาตรา 16
ตอบ ค. มาตรา 12
มาตรา๑๒ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตทำไม้ที่ไม่มีรอยตราอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ประทับไว้เว้นแต่จะได้มีข้อความระบุอนุญาตไว้ในใบอนุญาต
7. กรณีผู้รับอนุญาตทำไม้ต้องเสียค่าภาคหลวงตามที่กำหนดไว้ ข้อใด ไม่ถูกต้อง
ก. ต้องชำระค่าภาคหลวงล่วงหน้าท่อนหรือต้นละ 50 สตางค์เมื่อรับใบอนุญาต
ข. ต้องชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งจำนวนค่าภาคหลวงสำหรับไม้นั้นให้ทราบ
ค. ต้องชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 60 วันนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งจำนวนค่าภาคหลวงสำหรับไม้นั้นให้ทราบ
ง. ถ้าผู้รับอนุญาตไม่ชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้น ภายในกำหนดเวลา ให้ไม้นั้นตกเป็นของแผ่นดิน
ตอบ ค.ต้องชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 60 วันนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งจำนวนค่าภาคหลวงสำหรับไม้นั้นให้ทราบ
มาตรา ๑๔ (๑๒) ผู้รับอนุญาตทำไม้ต้องเสียค่าภาคหลวงตามที่กำหนดไว้ ดั่งต่อไปนี้
(๑) ต้องชำระค่าภาคหลวงล่วงหน้าท่อนหรือต้นละห้าสิบสตางค์เมื่อรับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เว้นแต่ในท้อง ที่ใดที่คณะกรมการจังหวัดได้ประกาศโดยได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี ให้งดเว้นไม่ต้องเรียกเก็บเงินค่าภาคหลวงล่วงหน้าหรือให้ลดค่าภาคหลวงล่วงหน้าลงจากอัตราที่กำหนดนี้ก็ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการจังหวัดนั้น ๆ
การทำไม้สัก ผู้รับอนุญาตจะต้องชำระค่าภาคหลวงล่วงหน้าตามอัตราที่ คณะกรรมการจังหวัดได้ประกาศโดยรับอนุ มติจากรัฐมนตรีหรือตามอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดเป็นรายๆไปการทำไม้ฟืนหรือทำไม้เผาถ่านไม่ต้องเสียค่าภาคหลวงล่วงหน้า
(๒)ต้องชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งจำนวนค่าภาคหลวงสำหรับไม้นั้นให้ทราบถ้าผู้รับอนุญาตไม่ชำระค่าภาคหลวงให้เสร็จสิ้น ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวในวรรคก่อน ให้ไม้นั้นตกเป็นของแผ่นดินเว้นแต่ผู้รับอนุญาตจะได้รับอนุญาตให้ผัดผ่อนการชำระค่าภาคหลวงต่อไปตามข้อกำหนดในกฎกระทรวง
8. ข้อใดเป็นข้อยกเว้นสำหรับค่าภาคหลวง กรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอนุญาตให้ทำไม้
ก. เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับการปลูกสร้างหรือการเปลี่ยนแปลงต่อเติมบ้านเรือน
ข. เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับเครื่องมือหรือสิ่งอื่นที่ใช้ประกอบหรือเกี่ยวเนื่องในการกสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์หรือ การประมงหรือทำรั้วเพื่อป้องกันภยันตราย
ค. เพื่อการกุศลหรือสาธารณประโยชน์ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนเห็นสมควร ตามปริมาณแห่งความจำเป็น
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง.ถูกทุกข้อ
มาตรา ๑๙ นอกจากไม้สัก ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอนุญาตให้ทำไม้ โดยยกเว้นค่าภาคหลวงได้ดั่งต่อไปนี้
(๑) เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับการปลูกสร้างหรือการเปลี่ยนแปลงต่อเติมบ้านเรือน ไม่เกินครอบครัวละสิบแปดบาท แต่ถ้าการปลูกสร้างหรือการเปลี่ยน แปลงต่อเติมบ้านเรือน เพื่อให้เป็นไปตามแผนผังและแบบก่อสร้างที่ทางราชการ ได้กำหนดขึ้นไว้สำหรับราษฎร ให้ยกเว้นได้ไม่เกินครัวเรือนละสี่สิบบาท
(๒) เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับเครื่องมือหรือสิ่งอื่นที่ใช้ประกอบหรือเกี่ยวเนื่องในการกสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์หรือ การประมงหรือทำรั้วเพื่อป้องกันภยันตราย อย่างละไม่เกินครัวเรือนละสิบสองบาท
(๓) เพื่อการกุศลหรือสาธารณประโยชน์ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนเห็นสมควร ตามปริมาณแห่งความจำเป็น
9. ข้อยกเว้นค่าภาคหลวง เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับการปลูกสร้างหรือการเปลี่ยนแปลงต่อเติมบ้านเรือน ไม่เกินครอบครัวละกี่บาท
ก. 18 บาท ค. 40 บาท
ข. 15 บาท ง. 30 บาท
ตอบ ก. 18 บาท (ดูคำอธิบายข้อ 7)
10. ข้อยกเว้นค่าภาคหลวง เพื่อใช้สอยส่วนตัวสำหรับเครื่องมือหรือสิ่งอื่นที่ใช้ประกอบหรือเกี่ยวเนื่องในการกสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์หรือ การประมงหรือทำรั้วเพื่อป้องกันภยันตราย อย่างละไม่เกินครัวเรือนละกี่บาท
ก. 20 บาท ค. 18 บาท
ข. 12 บาท ง. 30 บาท
ตอบ ข. 12 บาท
11. การยกเว้นค่าภาคหลวง ในข้อ 7 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาอนุญาตตามควรแก่ความจำเป็น และไม่ให้เกินครัวเรือนละหนึ่งครั้งภายในระยะกี่ปี
ก. 5 ปี ค. 15 ปี
ข. 10 ปี ง. 20 ปี
ตอบ ข. 10 ปี
มาตรา ๒๐ การยกเว้นค่าภาคหลวงตามความในมาตรา๑๙(๑)และ(๒)นั้นให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาอนุญาตตามควรแก่ความจำเป็น และไม่ให้เกินครัวเรือนละหนึ่งครั้งภายในระยะสิบปีนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตครั้งสุดท้าย แต่ถ้าเป็นการซ่อมแซมสิ่งชำรุดให้ยกเว้นค่าภาคหลวงได้ไม่เกินหนึ่งในสี่ของจำนวนค่าภาคหลวงที่ได้รับยกเว้นตามความในมาตราก่อนและการซ่อมแซมนั้นให้ยกเว้นได้ไม่เกินปีละหนึ่งครั้งบทบัญญัติในวรรคก่อนมิให้ใช้บังคับในกรณีที่มีการชำรุดเสียหายโดยภยันตรายอันเป็นเหตุสุดวิสัย
12. ผู้ที่จะรับประโยชน์ได้ต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรไม่ห่างจากที่ที่จะทำไม้เกินกว่ากี่กิโลเมตร
ก. 50 กิโลเมตร ค. 90 กิโลเมตร
ข. 70 กิโลเมตร ง. 100 กิโลเมตร
ตอบ ง. 100 กิโลเมตร
มาตรา ๒๑ ผู้ที่จะรับประโยชน์ได้ตามความในสองมาตราก่อน ต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรไม่ห่างจาก ที่ที่จะทำไม้เกินกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตร และต้องรับรองว่าจะใช้ไม้ทำประโยชน์ตามที่ได้รับอนุญาต ภายในราชอาณาจักรไม่ห่างจากที่ที่ทำไม้เกินกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตร
13. ผู้ใดได้รับอนุญาตใช้ไม้ทำประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในใบอนุญาตต้องทำให้เสร็จภายในกำหนดกี่ปี
ก. 1 ปี ค. 3 ปี
ข. 2 ปี ง. 4 ปี
ตอบ ข. 2 ปี
มาตรา ๒๓ ผู้ใดรับอนุญาตตามความในส่วนนี้ ต้องใช้ไม้ทำประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้เสร็จภายในกำหนด สองปี นับแต่วันใบอนุญาตสิ้นอายุมิฉะนั้นผู้รับอนุญาตต้องเสียค่าภาคหลวงตามอัตรา ในจำนวนไม้ที่ยังไม่ได้ใช้ทำ ประโยชน์และต้องชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเก้าสิบวัน นับแต่ระยะเวลาดั่งกล่าวนั้นสิ้นสุดลง
14. ใครมีอำนาจประกาศเว้นไม้หวงห้ามบางชนิดจากการอนุญาต โดยยกเว้นค่าภาคหลวงหรือกำหนดปริมาณและชนิดไม้ที่จะพึงอนุญาตให้ทำไม้ได้โดยยกเว้นค่าภาคหลวง
ก. รัฐมนตรี
ข. เจ้าพนักงานป่าไม้
ค. คณะกรมการจังหวัด
ง. คณะกรมการจังหวัดโดยอนุมัติจากรัฐมนตรี
ตอบ ง.คณะกรมการจังหวัดโดยอนุมัติจากรัฐมนตรี
มาตรา ๒๔ คณะกรมการจังหวัดโดยอนุมัติจากรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศเว้นไม้หวงห้ามบางชนิดจากการอนุญาต โดยยกเว้นค่าภาคหลวงหรือกำหนดปริมาณและชนิดไม้ที่จะพึงอนุญาตให้ทำไม้ได้โดยยกเว้นค่าภาคหลวงตามความในส่วนนี้
15. ของป่าอย่างใดในท้องที่ใดจะให้เป็นของป่าหวงห้าม ให้กำหนดโดยกฎหมายใด
ก. พระราชบัญญัติ ค. ประกาศกระทรวง
ข. พระราชกฤษฎีกา ง. กฎกระทรวง
ตอบ ข. พระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๒๗ ของป่าอย่างใดในท้องที่ใดจะให้เป็นของป่าหวงห้าม ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
16. พระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นในข้อ 15 ให้ใช้บังคับได้เมื่อพ้นกำหนดกี่วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ก. 30 วัน ค. 90 วัน
ข. 60 วัน ง. 120 วัน
ตอบ ค. 90 วัน
มาตรา ๒๘ การเพิ่มเติมหรือเพิกถอนของป่าหวงห้ามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดไว้แล้วก็ดีหรือจะกำหนดของป่าอย่างใดให้เป็นของป่าหวงห้ามขึ้นในท้องที่ใด นอกจากท้องที่ที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดตามความในมาตราก่อน แล้วนั้นก็ดี ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
พระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามความในมาตรานี้ ให้ใช้บังคับได้เมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
17. ในท้องที่ใดที่ได้กำหนดรวงผึ้งเป็นของป่าหวงห้าม ห้ามกระทำการใด
ก. ตัดหรือโค่นต้นยวงผึ้ง ค. เผาต้นไม้ที่ผึ้งทำรังอยู่
ข. ตัดต้นไม้ที่ผึ้งทำรังอยู่ ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
มาตรา ๓๑ ในท้องที่ใดที่ได้กำหนดรวงผึ้งเป็นของป่าหวงห้าม ห้ามมิให้ผู้ใดแม้จะเป็นผู้รับอนุญาตหรือผู้รับสัมปทาน เก็บหาของป่า ตัดหรือโค่นต้นยวงผึ้ง หรือต้นไม้ที่ผึ้งทำรังอยู่ หรือทำอันตรายด้วยประการใดแก่ต้นไม้ที่กล่าวแล้ว โดย ไม่จำเป็นแก่การเก็บหารวงผึ้ง
18. ห้ามมิให้ผู้ใดนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ผ่านด่านป่าไม้ในระหว่างเวลาใด
ก. 08.00 - 18.00 น. ค. 24.00 - 06.00 น.
ข. 01.00 - 12.00 น. ง. ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น
ตอบ ง. ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น
มาตรา ๔๑ ห้ามมิให้ผู้ใดนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ผ่านด่านป่าไม้ในระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นหนังสือ
19. เมื่อมีไม้ไหลลอยมาตกอยู่ในความครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องประกาศโฆษณาให้เจ้าของเรียกเอาภายในเวลากำหนดแต่มิให้กำหนดน้อยกว่ากี่วัน นับแต่วันประกาศ
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ก. 90 วัน
มาตรา ๔๕ ทุกปีในเดือนกุมภาพันธ์และเดือนสิงหาคมเมื่อมีไม้ไหลลอยมาตกอยู่ในความครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศโฆษณาให้เจ้าของเรียกเอาภายในเวลากำหนดแต่มิให้กำหนดน้อยกว่าเก้าสิบวัน นับแต่วันประกาศ
20. หากผู้อ้างสิทธิไม่พอใจในคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้คืนไม้ไหลลอย ผู้นั้นต้องร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลากี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ง. 30 วัน
พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้คืนไม้ไหลลอย ให้แก่ผู้ที่อ้างสิทธิในไม้นั้น เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พอใจในหลักฐานที่ผู้นั้นนำมาแสดง ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งเป็นอย่างอื่นและผู้อ้างสิทธิไม่พอใจในคำสั่ง ผู้นั้นต้องไป ร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาสามสิบวัน นับแต่วันทราบคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าไม่ร้องภายใน กำหนดผู้นั้นหมดสิทธิว่ากล่าวต่อไป
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือศาลมิได้สั่งแสดงว่าผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในไม้นั้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน
21. รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดท้องที่ใดให้เป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกาศนั้นให้ใช้บังคับได้เมื่อพ้นกำหนดกี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ก. 90 วัน
มาตรา 47 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดท้องที่ใดให้เป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกาศนั้นให้ใช้บังคับได้เมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศการอนุญาตนั้นให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติโดยมิชักช้า
22. ข้อใดคือคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรกล
ก. เป็นเจ้าของ
ข. ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
ค. ไม่อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาต
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
มาตรา 49 (26) ผู้ขออนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรกลต้อง
(1) เป็นเจ้าของ และ
(2) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ความผิดที่เป็นลหุโทษหรือ
(3) ความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือ
(4) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือ
(5) ไม่อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งออก ตามความในหมวดนี้ หรือใบอนุญาตทำไม้ ใบอนุญาตผูกขาดทำไม้ หรือสัมปทานทำไม้ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัตินี้
23. ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตทำการแปรรูปไม้ในระหว่างเวลาใด
ก. เวลากลางวัน ค. พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น
ข. เวลากลางคืน ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ค. พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น
มาตรา 52 ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตทำการแปรรูปไม้ในระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้นเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นหนังสือ
24. ผู้ค้าหรือผู้มีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้าม ที่มีชนิดไม้ ขนาดหรือปริมาณเกินกว่าชนิดไม้ขนาดหรือปริมาณที่ควบคุมอยู่แล้ว จะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในกี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ง. 30 วัน
มาตรา 53 จัตวา ในกรณีที่มีประกาศของรัฐมนตรีกำหนดเขตท้องที่ใดเป็นเขตควบคุมตามมาตรา 53 ทวิ ให้ผู้ค้าหรือผู้มีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้าม ที่มีชนิดไม้ ขนาดหรือปริมาณเกินกว่าชนิดไม้ขนาดหรือปริมาณที่ควบคุมอยู่แล้วก่อนวันที่ประกาศของรัฐมนตรีดังกล่าวใช้บังคับ ยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ประกาศของรัฐมนตรีดังกล่าวที่ใช้บังคับ
25. ห้ามมิให้ผู้ใดก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือ กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า ถูกกล่าวไว้ในมาตราใด
ก. มาตรา 56 ค. มาตรา 54
ข. มาตรา 43 ง. มาตรา 60
ตอบ ค. มาตรา 54
มาตรา 54 (30) ห้ามมิให้ผู้ใดก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือ กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น เว้นแต่จะกระทำภายในเขตที่ได้ จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรมและรัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือโดยได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
26. ใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามความในพระราชบัญญัตินี้ จะโอนได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากใคร
ก. พนักงานเจ้าหน้าที่ ค. รัฐมนตรี
ข. อธิบดีกรมป่าไม้ ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด
ตอบ ก. พนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา 56 ใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามความในพระราชบัญญัตินี้ จะโอนได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที
27. ถ้าผู้รับอนุญาตตาย ทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะทำการแทนตามใบอนุญาตนั้นต่อไป แต่จะต้องไม่เกินกี่วันนับแต่วันผู้รับอนุญาตตาย
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ก. 90 วัน
ถ้าผู้รับอนุญาตตาย ทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะทำการแทนตามใบอนุญาตนั้นต่อไปก็ได้ แต่ต้องไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันผู้รับอนุญาตตาย และถ้าทายาทหรือผู้จัดการมรดกประสงค์จะทำการแทนต่อไปอีก ต้องยื่นคำขออนุญาตก่อนกำหนดเวลาที่กล่าวแล้วได้สิ้นสุดลง
28. ใครมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้
ก. พนักงานเจ้าหน้าที่ ค. รัฐมนตรี
ข. อธิบดีกรมป่าไม้ ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด
ตอบ ก.พนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา 59 (32) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ได้ดังต่อไปนี้
(1) เมื่อปรากฏว่าผู้รับอนุญาตฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้กฎกระทรวง ข้อกำหนด หรือเงื่อนไขในการอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามพระราชบัญญัตินี้ จะสั่งพักใช้ใบอนุญาตได้ไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน
(2) เมื่อมีการฟ้องผู้รับอนุญาตต่อศาลว่า ได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ จะสั่งพักใบอนุญาตไว้จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดก็ได้
29. ใครมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้
ก. พนักงานเจ้าหน้าที่ ค. รัฐมนตรี
ข. อธิบดีกรมป่าไม้ ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด
ตอบ ค. รัฐมนตรี
มาตรา 61 (33) ในกรณีที่เหตุแห่งการสั่งพักใช้ใบอนุญาตตามมาตรา 59 ปรากฏแก่รัฐมนตรี หรือเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้สั่งพักใช้ใบอนุญาตตามมาตรา 59 แล้ว ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรจะสั่งเพิกถอนใบอนุญาตที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้เสียก็ได้
ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรกล หรือผู้กระทำการแทนนิติบุคคลผู้รับอนุญาต ไม่มีลักษณะตามมาตรา 49 (1) หรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 49 (2) (3) หรือ (4) แล้วแต่กรณี ให้รัฐมนตรีสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
30. ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งไม่อนุญาตตามคำขอของบุคคลใดตามความในพระราชบัญญัตินี้ หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตบุคคลนั้นมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อรัฐมนตรีได้ภายในกำหนดกี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ง. 30 วัน
มาตรา 62 ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งไม่อนุญาตตามคำขอของบุคคลใดตามความในพระราชบัญญัตินี้ หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตตามความในมาตรา 59 บุคคลนั้นมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อรัฐมนตรีได้ภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้ถือเป็นที่สุด
31. ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ใดในเขตสัมปทานเพื่อประโยชน์ในการสร้างเขื่อนชลประทานรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการใด
ก. ให้สัมปทานที่มีพื้นที่สัมปทานทับพื้นที่ดังกล่าวสิ้นสุดลงทั้งแปลง
ข. ให้ผู้รับสัมปทานหยุดการทำกิจการที่ได้รับสัมปทานเป็นการชั่วคราวในพื้นที่ดังกล่าวตามระยะเวลาที่เห็นสมควร
ค. ตัดเขตพื้นที่ดังกล่าวออกจากพื้นที่ในสัมปทาน
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
มาตรา 68 ทวิ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ใดในเขตสัมปทานเพื่อประโยชน์ในการสร้างเขื่อนชลประทาน หรือเขื่อนพลังน้ำหรือเพื่อการป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ หรือความมั่นคงของชาติ หรือเพื่อรักษาความสมดุลของสภาพแวดล้อม หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่นให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการดังต่อไปนี้
(1)ให้สัมปทานที่มีพื้นที่สัมปทานทับพื้นที่ดังกล่าวสิ้นสุดลงทั้งแปลง
(2)ให้ผู้รับสัมปทานหยุดการทำกิจการที่ได้รับสัมปทานเป็นการชั่วคราวในพื้นที่ดังกล่าวตามระยะเวลาที่เห็นสมควร
(3) ตัดเขตพื้นที่ดังกล่าวออกจากพื้นที่ในสัมปทาน
32. เงินชดเชยความเสียหายที่ผู้รับสัมปทานมีสิทธิได้รับต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ใด
ก. ต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงแก่ผู้รับสัมปทาน
ข. ความรับผิดที่ผู้รับสัมปทานมีต่อบุคคลภายนอก ตามสัญญาระหว่างผู้รับสัมปทานกับบุคคลภายนอกที่เกี่ยวเนื่องกับการทำกิจการที่ได้รับสัมปทาน
ค. ห้ามมิให้มีการจ่ายเงินชดเชยเพื่อกำไรหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ผู้รับสัมปทานคาดว่าจะได้รับจากการทำกิจการที่ได้รับสัมปทาน
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง.ถูกทุกข้อ
มาตรา 68 สัตตะ เงินชดเชยความเสียหายที่ผู้รับสัมปทานมีสิทธิได้รับให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงแก่ผู้รับสัมปทานและเฉพาะในเรื่องดังต่อไปนี้
(ก) เงินลงทุนที่ผู้รับสัมปทานได้ใช้จ่ายไปเพื่อการทำกิจการที่ได้รับสัมปทาน เช่น ค่าเครื่องจักรกล ค่ายานพาหนะ ค่าเครื่องมือ เครื่องใช้และอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งผู้รับสัมปทานยังใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า ทั้งนี้โดยให้คำนึงถึงค่าเสื่อมราคาที่ได้หักไว้แล้ว ระยะเวลาของสัมปทานที่ผู้รับสัมปทานได้ใช้สิทธิการทำกิจการที่ได้รับสัมปทานไปแล้ว จำนวนไม้หรือของป่าที่ผู้รับสัมปทานได้ทำออกไปแล้วรวมทั้งประโยชน์อย่างอื่นที่ผู้รับสัมปทานได้รับไป อันเนื่องจาการทำกิจการที่ได้รับสัมปทานในระหว่างอายุสัมปทาน และมูลค่าของทรัพย์สินหรือสิ่งของที่เหลืออยู่และยังเป็นประโยชน์ต่อผู้รับสัมปทาน
(ข) ค่าใช้จ่ายที่ผู้รับสัมปทานได้จ่ายไปเพื่อการทำกิจการที่ได้รับสัมปทานและยังมิได้รับผลประโยชน์กลับคืน ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ใน (ก) และ
(ค) ความผูกพันตามกฎหมาย ที่ผู้รับสัมปทานมีอยู่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่มีการเลิกจ้าง
เงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายที่นำมาพิจารณาเพื่อรับเงินชดเชยตาม (ก) และ (ข) จะต้องไม่เกินกว่าที่เป็นเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายตามที่ผู้ประกอบธุรกิจจะลงทุนหรือใช้จ่ายในกิจการเช่นนั้นโดยทั่วไปตามปกติ
(2) ความรับผิดที่ผู้รับสัมปทานมีต่อบุคคลภายนอก ตามสัญญาระหว่างผู้รับสัมปทานกับบุคคลภายนอกที่เกี่ยวเนื่องกับการทำกิจการที่ได้รับสัมปทาน หากมีข้อสัญญาที่คู่สัญญาตกลงให้ผู้รับสัมปทานต้องรับผิด ในกรณีเหตุสุดวิสัยให้แตกต่างไปจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือมีข้อสัญญาที่สัญญาตกลงให้ผู้รับสัมปทานต้องรับผิดเพราะรัฐสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกสัมปทาน ข้อสัญญาดังกล่าวย่อมไม่มีผลใช้บังคับเพื่อการให้เงินชดเชยความเสียหายตามมาตรานี้
(3) ห้ามมิให้มีการจ่ายเงินชดเชยเพื่อกำไรหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ผู้รับสัมปทานคาดว่าจะได้รับจากการทำกิจการที่ได้รับสัมปทาน
(4) ในกรณีที่การเลิกสัมปทานเป็นเหตุให้ผู้รับสัมปทานได้รับเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อย่างอื่นตอบแทนจากการประกันหรือการอื่นใดเพื่อทดแทนความเสียหาย ให้ถือว่าเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของเงินชดเชยความเสียหายตามมาตรานี้
33. ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานประสงค์จะเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหาย ผู้รับสัมปทานจะต้องยื่นคำขอเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายต่อใคร
ก. พนักงานเจ้าหน้าที่ ค. อธิบดีกรมป่าไม้
ข. รัฐมนตรี ง. ผู้ว่าราชการจังหวัด
ตอบ ค. อธิบดีกรมป่าไม้
ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานประสงค์จะเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหาย ผู้รับสัมปทานจะต้องยื่นคำขอเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายต่ออธิบดีกรมป่าไม้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้รับสัมปทานได้รับหนังสือของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่แจ้งคำสั่งของรัฐมนตรี หรือแจ้งการสิ้นสุดของสัมปทานตามวรรคหนึ่ง แล้วแต่กรณี
34. จากข้อ 33 การยื่นคำขอเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายต้องทำภายในเวลากี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ก. 90 วัน (ดูคำอธิบายข้อ 28)
35. คณะกรรมการพิจารณากำหนดเงินชดเชยความเสียหาย ที่อธิบดีกรมป่าไม้แต่งตั้งมีกี่คน
ก. 3 คน ค. 5 คน
ข. 4 คน ง. 6 คน
ตอบ ข. 4 คน
มาตรา 68 นว ในการพิจารณากำหนดเงินชดเชยความเสียหาย ให้อธิบดีกรมป่าไม้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยผู้แทนกรมสรรพากรหนึ่งคน ผู้แทนสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินหนึ่งคน ผู้มีความรู้ความสามารถในการตีราคาทรัพย์สินหนึ่งคน และเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้หนึ่งคน เพื่อทำหน้าที่พิจารณากำหนดเงินชดเชยความเสียหาย
.....................................................................
แนวข้อสอบพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ.๒๕๓๕
************************
1. พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ.๒๕๓๕ ให้ไว้ ณ วันใด
ก. ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ค. ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕
ข. ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ง. ๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕
ตอบ ก. ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕
2. พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ.๒๕๓๕ มีกี่มาตรา
ก. 30 มาตรา ค. 25 มาตรา
ข. 28 มาตรา ง. 34 มาตรา
ตอบ ข. 28 มาตรา
3. ข้อใดคือความหมายของ “ต้นไม้” ตามพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ.๒๕๓๕
ก. ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่แล้วเพื่อใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้
ข. ต้นไม้ที่ปลูกขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้
ค. ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่แล้วหรือปลูกขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นแต่อาจใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้ได้ด้วย
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง.ถูกทุกข้อ
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
“สวนป่า” หมายความว่า ที่ดินที่ได้ขึ้นทะเบียนตามมาตรา ๕ เพื่อทำการปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้ที่เป็นไม้หวงห้ามตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้
“ต้นไม้” หมายความว่า ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่แล้วหรือปลูกขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้และหมายความรวมถึงต้นไม้ที่ขึ้นอยู่แล้วหรือปลูกขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นแต่อาจใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้ได้ด้วย
4. ที่ดินที่จะขอขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่าตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นที่ดินประเภทใด
ก. ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีหลักฐานการอนุญาต การเช่าหรือเช่าซื้อ
ข. ที่ดินที่มีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ค. ที่ดินที่ได้ดำเนินการเพื่อการปลูกป่าอยู่แล้วโดยทบวงการเมือง รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
มาตรา ๔ ที่ดินที่จะขอขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่าตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นที่ดินประเภทหนึ่งประเภทใด ดังต่อไปนี้
(๑) ที่ดินที่มีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
(๒) ที่ดินที่มีหนังสือของทางราชการรับรองว่า ที่ดินดังกล่าวอยู่ในระยะเวลาที่อาจขอรับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ เนื่องจากได้มีการครอบครองและเข้าทำกินในที่ดินดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพไว้แล้ว
(๓) ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีหลักฐานการอนุญาต การเช่าหรือเช่าซื้อ
(๔) ที่ดินที่มีหนังสืออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติให้บุคคลเข้าทำการปลูกป่าในเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติหรือเข้าทำการปลูกสร้างสวนป่า หรือไม้ยืนต้นในเขตป่าเสื่อมโทรม
(๕) ที่ดินที่ได้ดำเนินการเพื่อการปลูกป่าอยู่แล้วโดยทบวงการเมือง รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
5. ผู้มีกรรมสิทธิ์สิทธิครอบครอง หรือผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินประสงค์จะใช้ที่ดินนั้นทำสวนป่าเพื่อกาค้า ให้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนต่อใคร
ก. อธิบดีกรมป่าไม้ ค. นายทะเบียน
ข. ผู้ว่าราชการจังหวัด ง. รัฐมนตรี
ตอบ ค. นายทะเบียน
มาตรา ๕ ผู้มีกรรมสิทธิ์สิทธิครอบครอง หรือผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินตามมาตรา ๔ ประสงค์จะใช้ที่ดินนั้นทำสวนป่าเพื่อกาค้า ให้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนต่อนายทะเบียนตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด และเมื่อได้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนแล้ว ผู้ยื่นคำขออาจดำเนินการไปก่อนได้จนกว่านายทะเบียนจะสั่งรับหรือไม่รับขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่าตามมาตรา ๖
6. นายทะเบียนพิจารณาและแจ้งการสั่งรับหรือไม่รับขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า ให้ผู้ยื่นคำขอทราบภายในกี่วันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ
ก. 30 วัน ค. 15 วัน
ข. 45 วัน ง. 60 วัน
ตอบ ค. 15 วัน
มาตรา ๖ ให้นายทะเบียนพิจารณาและแจ้งการสั่งรับหรือไม่รับขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า ให้ผู้ยื่นคำขอทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอตามมาตรา ๕ หรือได้รับรายงานผลการตรวจสอบตามมาตรา ๗ แล้วแต่กรณี
7. ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า ผู้ยื่นคำขอมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายในกี่วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งดังกล่าว
ก. 60 วัน ค. 90 วัน
ข. 30 วัน ง. 45 วัน
ตอบ ข. 30 วัน
ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าตามวรรคหนึ่งให้ผู้ยื่นคำขอมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่งดังกล่าว คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
8. ที่ดินประเภทใดที่ก่อนรับขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องออกไปตรวจสอบและทำรายงานเกี่ยวกับที่ดิน
ก. ที่ดินที่มีหนังสืออนุญาตให้บุคคลเข้าทำการปลูกป่าในเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติหรือเข้าทำการปลูกสร้างสวนป่า หรือไม้ยืนต้นในเขตป่าเสื่อมโทรม
ข. ที่ดินที่มีหนังสือของทางราชการรับรองว่า ที่ดินดังกล่าวอยู่ในระยะเวลาที่อาจขอรับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้
ค. ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีหลักฐานการอนุญาต การเช่าหรือเช่าซื้อ
ง. ที่ดินที่ได้ดำเนินการเพื่อการปลูกป่าอยู่แล้วโดยทบวงการเมือง รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
ตอบ ก. ที่ดินที่มีหนังสืออนุญาตให้บุคคลเข้าทำการปลูกป่าในเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติหรือเข้าทำการปลูกสร้างสวนป่า หรือไม้ยืนต้นในเขตป่าเสื่อมโทรม
มาตรา ๗ ก่อนรับขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าตามมาตรา ๖ หากที่ดินที่ขอขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินตามมาตรา ๔ (๔) ให้นายทะเบียนสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบและทำรายงานเกี่ยวกับสถานที่ตั้ง สภาพที่ดิน ชนิด ขนาด ปริมาณ และจำนวนของไม้ ตลอดจนรายละเอียดของที่ดินที่ขอขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่า และในกรณีที่เป็นไม้หวงห้ามตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้หรือไม้ที่การทำไม้ต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดแจ้งในรายงานดังกล่าวให้แจ้งชัดตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีทั้งนี้ให้รายงานผลการตรวจสอบต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง
9. ผู้ทำสวนป่าต้องจัดให้มีสิ่งใดเพื่อแสดงการเป็นเจ้าของไม้ที่ได้มาจากการทำสวนป่า
ก. สัญลักษณ์ ค. เครื่องหมาย
ข. ตรา ง. ชื่อ
ตอบ ข. ตรา
มาตรา ๙ ผู้ทำสวนป่าต้องจัดให้มีตราเพื่อแสดงการเป็นเจ้าของไม้ที่ได้มาจากการทำสวนป่า และจะนำตราออกใช้ได้เมื่อได้นำขึ้นทะเบียนแล้ว
10. ตราที่ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับตีตอก หรือประทับที่ไม้ซึ่งผู้ทำสวนป่าจะตัดหรือโค่นต้องเป็นตราที่มีการรับรองจากใคร
ก. อธิบดีกรมป่าไม้ ค. รัฐมนตรี
ข. ผู้ว่าราชการจังหวัด ง. นายทะเบียน
ตอบ ง. นายทะเบียน
11. ไม้ที่จะนำเคลื่อนที่ออกจากสวนป่าต้องมีลักษณะอย่างไร
ก. มีรอยตราตีตอก หรือประทับหรือแสดงการเป็นเจ้าของ
ข. มีขนาดที่เหมาะสมในการเคลื่อนที่
ค. ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ง. มีจำนวนไม่มาก
ตอบ ก. มีรอยตราตีตอก หรือประทับหรือแสดงการเป็นเจ้าของ
มาตรา ๑๓ ไม้ที่จะนำเคลื่อนที่ออกจากสวนป่า ต้องมีรอยตราตีตอก หรือประทับหรือแสดงการเป็นเจ้าของ และในการนำเคลื่อนที่ ผู้ทำสวนป่าต้องมีหนังสือรับรองการแจ้งตลอดจนบัญชีแสดงรายการไม้กำกับไปด้วยตลอดเวลาที่นำเคลื่อนที่ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
12. ในการนำไม้เคลื่อนที่ออกจากสวนป่า ผู้ทำสวนป่าต้องมีสิ่งใดไปด้วยตลอดการนำไม้เคลื่อนที่
ก. หนังสือรับรองการแจ้ง ค. บัตรประชาชน
ข. บัญชีแสดงรายการไม้ ง. ถูกทั้ง ก และ ข
ตอบ ง. ถูกทั้ง ก และ ข
13. ในกรณีที่ผู้ทำสวนป่าประสงค์จะยกเลิกตรา จะต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง
ก. แจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ข. นำตราไปทำลายก่อนแล้วจึงไปแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่
ค. นำตราไปทำลายต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่โดยเร็ว
ง. แจ้งเป็นหนังสือพร้อมกับนำตราไปทำลายต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่
ตอบ ง. แจ้งเป็นหนังสือพร้อมกับนำตราไปทำลายต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา ๑๗ ในกรณีที่ผู้ทำสวนป่าประสงค์จะยกเลิกตรา ให้แจ้งเป็นหนังสือพร้อมกับนำตราดังกล่าวไปทำลายต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่
14. ในกรณีที่ตราของผู้ทำสวนป่าบุบสลายในสาระสำคัญหรือสูญหาย ผู้ทำสวนป่าต้องแจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในกี่วัน
ก. 90 วัน ค. 45 วัน
ข. 60 วัน ง. 30 วัน
ตอบ ง. 30 วัน
ในกรณีที่ตราของผู้ทำสวนป่าบุบสลายในสาระสำคัญหรือสูญหาย ให้ผู้ทำสวนป่าแจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบการบุบสลายหรือสูญหายและในกรณีที่ตราบุบสลาย ให้นำตราดังกล่าวไปทำลายต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมกับการ
แจ้งด้วย
15. ในกรณีที่ผู้ทำสวนป่าตายหากทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้ทำสวนป่าประสงค์จะทำสวนป่าในที่ดินให้แจ้งการขอรับโอนทะเบียนสวนป่าต่อนายทะเบียน ภายในนับแต่วันที่ผู้ทำสวนป่าตาย
ก. 90 วัน ค. 120 วัน
ข. 30 วัน ง. 180 วัน
ตอบ ง. 180 วัน
มาตรา ๑๙ ในกรณีที่ผู้ทำสวนป่าตายหรือโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินที่ทำสวนป่าให้แก่บุคคลอื่น หรือผู้ทำสวนป่าซึ่งมีสิทธิตามสัญญาเช่าหรือเช่าซื้อในที่ดินที่ทำสวนป่าถูกเลิกสัญญาเช่าหรือเช่าซื้อ หากทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้ทำสวนป่า ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน หรือผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินที่มีการเลิกสัญญาเช่า หรือเช่าซื้อ แล้วแต่กรณีประสงค์จะทำสวนป่าในที่ดินดังกล่าวต่อไป ให้แจ้งการขอรับโอนทะเบียนสวนป่าต่อนายทะเบียน ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ผู้ทำสวนป่าตายหรือมีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง หรือมีการเลิกสัญญาเช่าหรือเช่าซื้อ แล้วแต่กรณีหากไม่แจ้งภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่านั้นสิ้นสุดลง
16. ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้ใครเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
ก. อธิบดี ค. พนักงานเจ้าหน้าที่
ข. นายทะเบียน ง. ถูกทั้ง ข และ ค
ตอบ ง. ถูกทั้ง ข และ ค
มาตรา ๒๒ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
17. ผู้ใดขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่มีโทษอย่างไร
ก. จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ข. จำคุกไม่เกินสองเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ค. จำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ง. จำคุกไม่เกินสี่เดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ตอบ ก. จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๓ ผู้ใดขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
18. ผู้ใดใช้ตราตีตอก หรือประทับหรือแสดงการเป็นเจ้าของไม้ที่มิได้มาจากการทำสวนป่ามีโทษอย่างไร
ก. จำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข. จำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ค. จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ง. จำคุกไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตอบ ก. จำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๔ ผู้ใดใช้ตราตีตอก หรือประทับหรือแสดงการเป็นเจ้าของไม้ที่มิได้มาจากการทำสวนป่า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
19. ผู้ใดนำไม้ที่ได้มาจากการทำสวนป่าเคลื่อนที่โดยไม่มีรอยตราตีตอก หรือประทับหรือแสดงการเป็นเจ้าของ หรือไม่มีบัญชีแสดงรายการไม้กำกับไม้ที่นำเคลื่อนที่ มีโทษอย่างไร
ก. จำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข. จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ค. จำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ง. จำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตอบ ข. จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๕ ผู้ใดใช้ตราตีตอก หรือประทับหรือแสดงการเป็นเจ้าของไม้ที่ได้มาจากการทำสวนป่าอันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา ๙ วรรคสาม หรือเงื่อนไขที่นายทะเบียนกำหนดตามมาตรา ๑๑ วรรคสอง หรือนำไม้ที่ได้มาจากการทำสวนป่าเคลื่อนที่โดยไม่มีรอยตราตีตอก หรือประทับหรือแสดงการเป็นเจ้าของ หรือไม่มีบัญชีแสดงรายการไม้กำกับไม้ที่นำเคลื่อนที่ตามมาตรา ๑๓ หรือฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา ๑๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
20. ผู้ใดไม่แจ้งการบุบสลายในสาระสำคัญหรือการสูญหายของตรา หรือไม่นำตราที่บุบสลายไปทำลาย มีโทษอย่างไร
ก. จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข. จำคุกไม่เกินสองเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ค. จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ง. จำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตอบ ค. จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๖ ผู้ทำสวนป่าผู้ใดไม่เก็บรักษาหนังสือรับรองการแจ้งไว้ที่สวนป่าตามมาตรา ๑๒ หรือไม่เก็บรักษาหนังสือรับรองการแจ้ง บัญชีแสดงรายการไม้หรือเอกสารสำคัญตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่อธิบดีกำหนดตามมาตรา ๑๕ หรือไม่แจ้งการบุบสลายในสาระสำคัญหรือการสูญหายของตรา หรือไม่นำตราที่บุบสลายไปทำลายตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
21. ใครเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ง. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ตอบ ง.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มาตรา ๒๘ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม* รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
...................................................................................
ถาม - ตอบ
1. เพราะเหตุใดจึงต้องมีการจัดทำการวิจัยป่าไม้
ตอบ เนื่องจากป่าไม้เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ หรือความเสื่อมโทรมของป่าไม้ส่งผลกระทบไปถึงดิน น้ำ และอากาศด้วย (จินตนา อมรสงวนสิน 2550 : 115-120) นอกจากนี้ป่าไม้ยังมีความสำคัญ และมีประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ความสำคัญในด้านสังคมและวัฒนธรรม คือ ป่าไม้เป็นแหล่งของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ป่าไม้เป็นแหล่งนันทนาการที่มนุษย์ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ส่วนความสำคัญในด้านเศรษฐกิจนั้น ทรัพยากรป่าไม้ให้ประโยชน์แก่มนุษย์มากมายทั้งในรูปของเนื้อไม้จากลาต้น และในรูปไม่ใช่เนื้อไม้จากลาต้น นอกจากนี้ป่าไม้ยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของป่า กล่าวคือ ในแง่ของภูมิอากาศ ป่าไม้เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญของโลก โดยเก็บในรูปของเนื้อไม้ โดยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ที่มีอยู่ในอากาศ ช่วยในการผลิตก๊าซออกซิเจนในอากาศตลอดเวลา และช่วยควบคุมความร้อนในภูมิอากาศ ในด้านทรัพยากรดิน ป่าไม้ช่วยในการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน และช่วยในการควบคุมการพังทลายของดิน ในด้านทรัพยากรน้ำป่าไม้ช่วยในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ในแง่ความหลากหลายทางชีวภาพ ป่าไม้ช่วยในการรักษาความคงอยู่ของความหลากหลายทางชีวภาพ
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการที่ดินป่าไม้ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับนำไปปรับใช้กับการจัดการที่ดินป่าไม้ให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนต่อไป
2. เพราะสาเหตุใดจึงมีการบุกรุกป่าเกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ตอบ ส่วนความคิดเห็นเกี่ยวกับสาเหตุการบุกรุกป่า พบว่าส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาความยากจน ไม่มีที่ดินทำกิน หรือมีแต่ไม่พอที่จะทำกินให้ครอบครัวมีความมั่นคงได้ รวมไปถึงการขยายพื้นที่เพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันนโยบายส่งเสริมการปลูกยางพารา ทำให้นายทุน/ผู้มีอิทธิพลกว้านซื้อที่ดินมากขึ้นเพื่อจ้างคนในพื้นที่ปลูกยาง ขณะที่ชาวบ้านก็หันมาให้ความสนใจปลูกยางพารามากเช่นกัน การขาดเอกสารสิทธิในที่ดินเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดการบุกรุกที่ดินในเขตป่าเพราะชาวบ้านไม่ได้รับการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพเท่าที่ควรและเกิดความไม่มั่นใจในการลงทุนทางการเกษตรในระยะยาว ที่สำคัญคือ รัฐยังไม่มีมาตรการการจัดการเชิงพื้นที่ที่ชัดเจนแน่นอน เช่น การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคอันเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาอาชีพเกษตร
3. จงอธิบายวิวัฒนาการการบุกเบิกที่ดินทำกินในเขตป่าในแต่ละยุค
ตอบ 1. ยุคเก็บหาของป่าและล่าสัตว์ ยุคนี้เป็นยุคที่ผู้คนจากจังหวัดต่างๆจากทั่วสารทิศได้เข้ามาในพื้นที่เพื่อหาของป่า เช่น หวาย น้ำผึ้ง และพืชสมุนไพรต่างๆ และยังรวมไปถึงสัตว์ป่าทั้งหลายที่มีอย่างชุกชุมในพื้นที่นี้ และในที่สุดก็มีการเข้าครอบครองเพื่อทำกิน เมื่อมาพบกับความอุดมสมบูรณ์ในทุกๆด้าน ยุคนี้เน้นการหาของป่าและล่าสัตว์ การใช้ประโยชน์ที่ดินจึงน้อยมาก
2. ยุคบุกเบิกแผ้วถางป่าเพื่อปรับสภาพพื้นที่เป็นที่ทำกิน (ยุคก่อนการปลูกพืชเชิงพาณิชย์) ในยุคนี้เมื่อเข้าครอบครองแล้ว ก็มีการบุกเบิกแผ้วถางป่าเพื่อปรับสภาพพื้นที่ให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเครื่องไม้เครื่องมือ และแรงงาน ทำให้แต่ละคนบุกเบิกได้เพียงเล็กน้อย และส่วนใหญ่ซึ่งอพยพมาจาก จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงใช้ประโยชน์จากที่ดินในระยะแรกนี้เพื่อปลูกข้าวไร่ และพืชผักสวนครัวไว้บริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์จากป่า ด้วยการหาของป่าและล่าสัตว์
3. ยุคแรกๆของพืชเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ ยุคนี้เป็นยุคที่กระทรวงมหาดไทยโดยกรมประชาสงเคราะห์ เข้ามาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองปากจั่นขึ้น ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมฯฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2511 และฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2529 ทำให้ต้องสูญเสียพื้นที่ป่าในบริเวณนี้ไปถึง 28,465 ไร่ และยุคนี้เป็นยุคที่พืชเศรษฐกิจหลายอย่างได้รับการส่งเสริม แต่ในพื้นที่ที่ทำการศึกษานี้ไม่เฟื่องฟูมากนัก เพราะอยู่ห่างไกล และการเดินทางไม่สะดวก ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งมีฐานะยากจนจึงนิยมปลูกกาแฟกัน เนื่องจากแนวโน้มราคาดีขึ้นเรื่อยๆ สามารถเก็บผลผลิตได้เร็ว ต้นกล้าราคาถูก ปลูกง่าย และทนต่อสภาพภูมิอากาศได้ดี การใช้ประโยชน์จากที่ดินในยุคนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นการใช้เพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจที่ให้ผลผลิตเร็วและต้นทุนการผลิตต่ำ
4. ยุคพืชเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์เฟื่องฟู ยุคนี้จึงจัดเป็นยุคที่มีการบุกเบิกที่ทำกินในเขตป่าที่รุนแรงที่สุด โดยมีสาเหตุหลักอยู่หลายประการดังนี้
1) มีผู้อพยพรายใหม่ตามมาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540 ทำให้แรงงานจำนวนมากตามเมืองใหญ่ๆตกงาน จึงหันกลับมาทำอาชีพเกษตรกร แต่ด้วยฐานะยากจน ไม่สามารถซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องซึ่งมีราคาแพงมากได้ จึงเข้ามาซื้อที่ดินในเขตป่าที่มีคนจับจองไว้แล้ว ในราคาไม่แพงมากนัก เพื่อบุกเบิกเป็นที่ทำกิน
2) มีเครื่องมือที่ทันสมัยขึ้น เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เครื่องมือทางการเกษตรได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่พื้นที่ที่ทำการศึกษานี้มีเพียง มีดพร้า จอบ และขวานเท่านั้น ในยุคแรกของการบุกเบิกป่า แต่มาถึงยุคนี้มีทั้ง เครื่องตัดโค่นไม้ เครื่องตัดหญ้า เครื่องฉีดพ่นสารเคมี ทำให้สะดวกและรวดเร็วในการบุกเบิกป่ามาก ความเสียหายจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
3) ผู้อพยพยุคแรกเริ่มสะสมทุนได้ เนื่องจากผู้ที่อพยพมาในยุคแรกๆ ต่างมีฐานะยากจน การบุกเบิกขยายพื้นที่จึงทำได้น้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป พืชเศรษฐกิจที่ปลูกไว้ในยุคแรกๆให้ผลผลิตดี จึงมีเงินเก็บออมมาขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเพิ่มในยุคนี้
4) ราคาผลผลิตทางการเกษตรที่มีแนวโน้มสูงขึ้นมาก ก็เป็นอีกแรงจูงใจหนึ่งสำหรับการบุกเบิกพื้นที่ป่า เช่นยางพาราจากเดิมเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ 17-18 บาท ในบางช่วงเวลา แต่ในช่วงเวลาของ 2-3 ปีที่ผ่านมา ราคาขยับไปจนเกือบถึง 200 บาท/กิโลกรัม
5) เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบป่าไม้มีกำลังน้อย งบประมาณน้อย ขาดการบูรณาการการจัดการระหว่างหน่วยงานที่เป็นรูปธรรม และเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนรู้เห็นเป็นใจให้มีการบุกเบิกป่า การบุกเบิกป่าจึงสามารถกระทำได้อย่างกว้างขวาง
4. หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ควรดำเนินการอย่างไรกับปัญหาการบุกรุกป่า
ตอบ จากปัญหาดังกล่าวที่ส่วนหนึ่งเกิดจากระบบเศรษฐกิจที่บีบคั้นให้ประชาชนบางส่วนต้องบุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อความอยู่รอด และดำเนินชีวิตโดยการทำลายปัจจัยภายใน แล้วไปพึ่งพาปัจจัยภายนอกมากขึ้น เป็นผลให้ป่าไม้ และแหล่งน้ำเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผลที่ตามมา คือ ที่ทำกินเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว เกิดภัยแล้งบ้าง น้ำท่วมบ้าง โรคระบาดบ้าง และประชาชนมีหนี้สิน เพราะฉะนั้น หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ควรดำเนินการดังนี้
1. ส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน และหลักการเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ประชาชนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และประสบความสำเร็จ เพราะภูมิปัญญาชาวบ้าน และหลักการเศรษฐกิจพอเพียงเปรียบเสมือนรากฐานของความเข้มแข็งของชุมชน เป็นการรู้จักใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อต้องการให้ประชาชนดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกัน
2. ส่งเสริมให้ท้องถิ่นเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหา โดยการประสานหน่วยงานต่างๆทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับชุมชน เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันในการแก้ไขปัญหาการทับซ้อนของพื้นที่ โดยอาจจะทำแนวเขตป่าให้ชัดเจนขึ้น ส่วนการขอออกเลขที่บ้านต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดและรัดกุมขึ้น เพื่อป้องปรามการบุกรุกทำลายป่าเพิ่มเติมในภายหลัง
3. รัฐต้องส่งเสริม และยินยอมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการป่าอย่างจริงจังมากขึ้น ต้องเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ความรู้ และทำความเข้าใจอย่างใกล้ชิดกับชุมชน โดยเน้นที่ชุมชนเป็นหลักเพราะชุมชนอยู่กับป่า ดังนั้นถ้าชุมชนรู้และเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ของตนเองอย่างแท้จริงแล้ว ปัญหาต่างๆก็จะน้อยลง ส่วนกาลังเจ้าหน้าที่ที่มีน้อย และงบประมาณที่ไม่เพียงพอ อาจจะต้องแก้ปัญหาในรูปแบบอาสาสมัครรักษาป่า โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อช่วยงานเจ้าหน้าที่ เป็นการประหยัดงบประมาณ และได้กำลังเจ้าหน้าที่มากเท่าที่ต้องการ
5. การส่งเสริมปลูกป่าต้นไม้เพื่อเป็นทุนระยะยาวมีผลเสียต่อเกษตรกรรายย่อยอย่างไร
ตอบ การปลูกป่าจัดว่าเป็นการลงทุนระยะยาว เพราะต้องใช้เวลานานหลายปีจึงจะได้รับผลตอบแทนจากการปลูกป่าไม้นั้น ๆ ถ้าการปลูกป่าที่มีการลงทุนค่อนข้างสูงจะต้องคำนึงถึงผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและจะต้องวิเคราะห์การลงทุนว่าคุ้มค่ามากน้อยเพียงใดตลอดจนค่าเสียโอกาสและดอกเบี้ยทั้งหมดตลอดระยะเวลาก่อนถึงเวลาตัดไม้มาใช้ประโยชน์ได้
นอกจากนี้ถ้าผู้ปลูกเป็นเกษตรกรรายย่อยซึ่งมีพื้นที่จำกัดและต้องยังชีพจากผลผลิตพืชเกษตรรายปีจะได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในระยะแรกอย่างมาก เนื่องจากขาดรายได้ระหว่างปี ถ้าเกษตรกรใช้พื้นที่ทั้งหมดเพื่อการปลูกป่าเพียงชนิดเดียว
6. อธิบายความเสี่ยงที่มีต่อการปลูกป่าต้นไม้เพื่อเป็นทุนระยะยาวมาพอสังเขป
ตอบ ความเสี่ยงของเกษตรกรต่อการปลูกป่า นอกจากจะเสี่ยงต่อปัญหาเทคนิคต่าง ๆ ข้างต้น กล่าวคือ การเลือกชนิดไม้มาปลูกไม่เหมาะสมกับพื้นที่ การใช้พื้นที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกป่า ปัญหาด้านโรคและแมลงทำลาย ปัญหาเกี่ยวกับไฟป่า และปัญหาด้านการปลูกและการบำรุงรักษา ถึงแม้ว่าเกษตรกรหรือผู้ปลูกสามารถแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าวได้หมดสิ้นก็ตาม แต่ยังคงต้องเสี่ยงต่อการดำรงชีวิตในระหว่างที่รอจนกว่าจะตัดไม้ที่ปลูกนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 –10 ปี ถ้าเป็นต้นไม้โตเร็ว หรือ 10 – 15 ปี ถ้าเป็นไม้โตเร็วปานกลาง และ 15 – 20 ปี ถ้าเป็นไม้ประเภทโตค่อนข้างช้า ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกป่าตามโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะให้การส่งเสริมจึงควรนำเทคนิคด้านวนเกษตรไปใช้ โดยประยุกต์วิธีการทางวนเกษตรที่หลากหลายมาใช้การปลูกต้นไม้ในพื้นที่เกษตรกรรมร่วมกับการปลูกพืชเกษตรนานาชนิด เป็นรูปแบบซึ่งชาวชนบทดั้งเดิมได้ปฏิบัติมาช้านานเพื่อการยังชีพ ซึ่งเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่จำเป็นที่จะต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด เนื่องจากทรัพยากรที่มีอยู่เสื่อมโทรมลง อีกทั้งมีทางเลือกในการทำเกษตรน้อย จึงได้อาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นในการอนุรักษ์ต้นไม้ และใช้ประโยชน์จากต้นไม้มาเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต
7. รัฐบาลได้มีส่วนช่วยเหลือหรือฟื้นฟูการปลูกป่าอย่างไรบ้าง
ตอบ นอกจากนี้ การฟื้นฟูป่าของรัฐได้ดำเนินการสนับสนุนด้านเงินทุนแก่เกษตรกรซึ่งมีที่ดินของตนเองเพื่อการปลูกต้นไม่เศรษฐกิจ ภายใต้ชื่อโครงการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ หรือที่รู้จักกันดีในนาม “โครงการสามพันบาทต่อไร่” ที่รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปลูกไม้เศรษฐกิจแก่เกษตรกรไร่ละ 3,000 บาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 5 งวดในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งมีเกษตรกรหลายรายประสบผลสำเร็จในด้านการปลูกป่าในโครงการนี้ โดยการปลูกพืชเกษตรที่มีความหลากหลายทำให้เกิดรายได้ทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลางอย่างต่อเนื่อง จัดเป็นรูปแบบหนึ่งของวนเกษตรที่เน้นป่าไม้ (forestry – based agroforestry) เป็นหลัก
วนเกษตรจึงเป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของต้นไม้ในด้านการฟื้นฟูป่า และการสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกร และส่งเสริมการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน
8. ฟาร์มป่าไม้ หมายความว่าอย่างไร
ตอบ ฟาร์มป่าไม้ (Farm Forestry) หมายถึง รูปแบบการปลูกไม้ป่าในลักษณะฟาร์มหรือเป็นการปลูกสวนป่าขนาดย่อมมีเนื้อที่ไม่มากและจัดการโดยเกษตรกรรายย่อย ซึ่งมักจะมีกิจกรรมหลายอย่างในฟาร์มเพื่อสร้างรายได้ในระยะสั้นและในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ ฟาร์มป่าไม้อาจมีลักษณะที่แตกต่างไปจากสวนป่าขนาดใหญ่ (Forest Plantation) ที่ดำเนินการโดยเอกชนรายเดียว หรือในรูปบริษัทที่จะต้องลงทุนในระยะเริ่มต้น สำหรับการปลูกต้นไม้ มีกิจกรรมที่หลากหลายที่อาจสอดคล้องหรือขัดแย้งกันในการใช้ทรัพยากร ซึ่งการปลูกต้นไม้ให้ได้ประโยชน์สูงสุดในฟาร์ม จะต้องใช้วิชาการด้านวนวัฒนวิทยาที่พิเศษแตกต่างจากการปลูกป่าขนาดใหญ่ ตั้งแต่การคัดเลือกชนิดไม้ที่เหมาะสมในท้องถิ่น การจัดการดินและปุ๋ยที่สามารถผลิตได้ในฟาร์ม การจัดการระบบการให้น้ำ การจัดการที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกับกิจกรรมอื่นในฟาร์ม การจัดการกับต้นไม้เพื่อให้ได้ผลผลิตที่หลากหลาย อาทิ การตัดให้แตกหน่อสำหรับไม่ฟืน ไม้เสา ตัดให้แตกใบสำหรับเป็นอาหารหรืออาหารสัตว์หรือเป็นปุ๋ยพืชสด การปรับปรุงคุณภาพของไม้ซุง การบำรุงและอารักขาต้นไม้ในฟาร์ม การป้องโรค แมลง และศัตรูพืช ตลอกจนวิธีการเก็บเกี่ยวและการปลูกใหม่ครบวงจร
9. ภาระหน้าที่ของส่วนส่งเสริมการปลูกป่ามีอะไรบ้าง อธิบาย
ตอบ (1) จัดทำแผนและงบประมาณของส่วนฯ กำกับ ควบคุมดูแล และประสานงานด้านส่งเสริมการปลูกป่า
(2) ส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกป่าทุกรูปแบบ ทั้งการปลูกป่าในที่ดินของรัฐและการปลูกสร้างสวนป่าในที่ดินเอกชน การดำเนินงานในรูปสหกรณ์สวนป่า การปลูกป่าเศรษฐกิจในรูปแบบอื่นๆรวมทั้งการดำเนินงานเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยสวนป่า และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
(3) ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการเพาะชำกล้าไม้ การปลูกและบำรุงสวนป่าแก่ภาคเอกชน ประชาชน และหน่วยงานของรัฐ
(4) ปฏิบัติงานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
10. วัตถุประสงค์หลักของการจัดการสิทธิ์การใช้ที่ดินป่าไม้ ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ 1. เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ระหว่างรัฐกับราษฎร โดยให้มีการอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายและนโยบาย
2. ราษฎรที่ถือครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติให้สามารถอยู่อาศัย/ทำกิน ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นหลักแหล่งเหมาะสม มีความมั่นคง
3. มีแนวเขตที่ชัดเจน เป็นการควบคุมการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในเขตที่ดินป่าไม้ และป้องกันมิให้มีการบุกรุกขยายพื้นที่เพิ่มเติม
4. มีฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน เพื่อใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ในระดับพื้นที่ได้อย่างเป็นระบบ
11. อุปกรณ์ที่ใช้ในการในการปฏิบัติงาน ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ 1. กล้องรังวัด
2. GPS
3. เข็มทิศ สำหรับใช้วัดทิศทาง
4. เทปวัดระยะทาง
5. แผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1: 50,000 ของกรมแผนที่ทหาร ซึ่งแสดงแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติที่จะทำการสำรวจ
6. ข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ Ortho สี ปี 2545 มาตราส่วน 1:4,000 บริเวณป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว
12. การตรวจสอบ รังวัดแปลงที่ดินให้ราษฎร มีข้อกำหนดการในการปฏิบัติ อย่างไรบ้าง
ตอบ 1. พื้นที่อยู่ในเขตชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ 1, 2 หรือในพื้นที่ล่อแหลม คุกคามต่อระบบนิเวศ ให้รังวัดเพื่อใช้เป็นข้อมูล จัดทำแผนที่รายแปลง จำนวนเนื้อที่ (ไม่ต้องฝังหลักเขตรายแปลง) จัดทำผังแปลงที่ดินรวม และรังวัดขอบเขตเพื่อการควบคุมพื้นที่ และฝังหลักเขตชั่วคราว
2. พื้นที่อยู่ในข่ายที่สามารถอนุญาตได้ตามมาตรา 16 ทวิ แหง่ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่ง ชาติ พ.ศ. 2507 ได้ (อยู่ในชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ 3, 4, 5 และไม่เป็นพื้นที่ล่อแหลมคุกคามต่อระบบนิเวศ) ให้รั้งวัดแปลงที่ดินเพื่อดำเนินการอนุญาตให้ราษฎรต่อไป
3. กรณีเป็นพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน ให้รังวัดขอบเขตและแปลงที่อยู่อาศัยของราษฎรแต่ละรายในหมู่บ้านจัดทำแผนที่รายแปลงและผังแปลงที่ดินรวมของแต่ละหมู่บ้าน หากเป็นพื้นที่ที่สามารถอนุญาตได้ ให้ดำเนินการเพื่อการอนุญาตต่อไป
4. กรณีมีราษฎรใช้ที่ดินทับซ้อนในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติหรือพื้นที่สวนป่า (ยกเว้นสวนป่าในความรับผิดชอบของ อ.อ.ป.) ให้ทำการสำรวจ – รังวัด เพื่อให้ทราบข้อมูลขอบเขตแปลงที่ดิน/จัดทำผังแปลงที่ดินรวมไม่ต้องทำการฝังหลักเขตใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการแก้ไขปัญหาเฉพาะกรณีต่อไป
5. จะต้องดำเนินงานให้ครบถ้วนตามที่เป็นอยู่จริง และต้องเป็นไปตามหลักการสำคัญเกี่ยวกับการสำรวจถือครองพื้นที่ป่าไม้ คือจะต้องเป็นพื้นที่ที่มีการอยู่อาศัย/ทำกินในพื้นที่นั้นอยู่แล้ว ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน มิใช่อพยพไปอยู่ที่อื่นแล้วจะขอกลับเข้ามาทำกินอีก กรณีเช่นนี้ถือเป็นการบุกรุกพื้นที่ใหม่
6. กรณีที่ดินอยู่อาศัย/ทำกิน ของราษฎรในพื้นที่ที่ดำเนินการโครงการหลวง พื้นที่ที่เคยกำหนดเป็นโครงการปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ (หมู่บ้านป่าไม้เดิม) และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่กำหนดเป็นวนอุทยานจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของโครงการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ด้วย
7. กรณีพื้นที่ราชการ/เอกชนใช้ประโยชน์ ให้ตรวจสอบข้อมูล ดังนี้
(1) หากเป็นพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ทำประโยชน์แล้ว หรือขอไว้แล้ว แต่รอการอนุญาตให้เตรียมข้อมูลไว้เพื่อจัดทำข้อมูลที่ดินป่าไม้
(2) หากเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้ขออนุญาตให้สำรวจข้อมูลเพื่อจัดทำข้อมูลที่ดินป่าไม้ และเพื่อให้มีการพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป
13 ป่าชุมชน หมายความว่าอย่างไร
ตอบ ป่าชุมชน คือ พื้นที่ป่าทั้งที่เป็นป่าบก และป่าชายเลน (รวมทั้งผืนดิน ต้นไม้ ทุ่งหญ้า พันธุ์พืช สัตว์ป่า แหล่งน้ำ และสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติทั้งหมด) รอบชุมชน หรือใกล้เคียงกับชุมชน (อาจจะเป็นชุมชนทางการ เช่น หมู่บ้าน , อบต . หรือชุมชนตามประเพณีก็ได้ และก็อาจจะเป็นหนึ่งชุมชน หรือหลายชุมชนที่มาจัดการร่วมกันก็ได้) โดยที่ชุมชนใช้อาศัย ทำมาหากิน และเลือกใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนทั้งในเชิงเศรษฐกิจ และการรักษาระบบนิเวศ โดยชุมชนเป็นผู้วางแผน ตัดสินใจว่าต้องการอะไรจากป่า ต้องการเมื่อไร จะดูแลรักษา ฟื้นฟู และพัฒนาป่าชุมชนอย่างไร มีขอบเขตขนาดไหนที่ชุมชนจะดูแลได้ทั่วถึง โดยทั้งนี้แผนการจัดการป่าของชุมชน อาจจะกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเป็นจารีตประเพณี เป็นวิถีชีวิตในการจัดการป่าก็ได้ขึ้นอยู่กับชุมชนเป็นผู้กำหนด
14. เพราะเหตุใดถึงต้องมีป่าชุมชน
ตอบ โดยพื้นฐานสังคมชนบทไทย ชาวบ้านล้วนอาศัยพึ่งพาป่าทั้งในแง่ปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร สมุนไพร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยมาช้านาน นอกจากนี้ชาวบ้านยังได้พึ่งพาน้ำจากป่าใช้ทำนา อาศัยผลผลิตจากป่าเป็นเพื่อสร้างรายได้พอยังชีพ อีกทั้งป่ายังเป็นแหล่งที่มาของความเชื่อ ประเพณี ซึ่งเป็นรากฐานความสัมพันธ์ของชุมชน บทบาทของป่าต่อความอยู่รอดชุมชนจึงมีมาช้านาน ชุมชนพื้นเมืองจำนวนไม่น้อยจึงมีวัฒนธรรมในการรักษาป่า เช่น รูปแบบความเชื่อเรื่องผีที่ดูแลป่า ต้นน้ำ แบบแผนการผลิต การเกษตร การใช้ทรัพยากรที่ใช้ป่าอย่างทะนุถนอม ซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายไปตามภูมินิเวศและวัฒนธรรมในแต่ละแห่ง
เมื่อป่าอันเป็นฐานชีวิตของพวกเขากำลังถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นการสัมปทานไม้ในยุคก่อน การขยายตัวของพืชพาณิชย์ที่ต้องการใช้พื้นที่มาก การเติบโตของธุรกิจอุตสาหกรรมที่เข้ายึดครองพื้นที่ป่า การเข้ามาตัดไม้ เก็บผลผลิตจากป่าจากบุคคลภายนอก หรือแม้กระทั่งภายในชุมชนเองที่จะทำให้ป่าเสื่อมโทรมได้ โดยที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่สามารถเข้ามาช่วยดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ได้ หรือหลายกรณีเจ้าหน้าที่รัฐกลับปล่อยปละละเลยให้เกิดการทำลายป่า หรือยึดพื้นที่ป่าเป็นของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศเขตป่าอนุรักษ์ การมีโครงการพัฒนาต่างๆ ที่เข้ายึดครองพื้นที่ป่าของชุมชนและกีดกันไม่ให้ชุมชนพึ่งพาป่าได้อีกต่อไป
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของป่า และของชุมชนอย่างมาก ทำให้ชุมชนจำนวนไม่น้อยต้องดำเนินการรักษาป่าอย่างจริงจัง เพื่อให้ระบบนิเวศ แหล่งอาหาร สมุนไพร แหล่งต้นน้ำสำหรับการเกษตร และพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวบ้านยังคงอยู่ต่อไป และฐานทรัพยากรดังกล่าวยังเป็นทุนทางสังคมของชาวบ้านที่ใช้ในการพัฒนา เศรษฐกิจพอเพียง เสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นของชุมชนได้
15. ในการจำแนกประเภทของป่าชุมชนสามารถจำแนกได้กี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอบ 3 ประเภท
1.ป่าชุมชนตามประเพณีที่สืบทอดกันมา ได้แก่
- ป่าหวงห้าม อนุรักษ์เพื่อประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ
- ป่าต้นน้ำ เป็นพื้นที่ป่าที่ชุมชนเก็บรักษาไว้เป็นต้นน้ำลำธาร
- ป่าใช้สอย เป็นพื้นที่ป่าทีแยกไว้เพื่อชุมชนได้ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะ เช่น เลี้ยงสัตว์ เก็บผลผลิตจากป่า เป็นต้น
2. ป่าชุมชนที่ริเริ่มโดยท้องถิ่น มักเป็นกรณีชุมชนที่เกิดขึ้นใหม่ ที่ผสมผสานกันหลากหลายวัฒนธรรม อาจไม่ใช่ประเพณีดั้งเดิม แต่ชุมชนท้องถิ่นเห็นความจำเป็นที่จะต้องรักษาป่าขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ บางอย่าง เช่น คัดค้านการทำลายป่า การรักษาแหล่งต้นน้ำ การสร้างความมั่นคงทางอาหารและปัจจัยใช้สอย การสงวนพื้นที่ดินไว้ให้แก่ชุมชน เป็นต้น
3. ป่าชุมชนที่ได้รับการสนับสนุนจากภายนอก เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน รัฐ วัด เป็นต้น จากการสำรวจป่าชุมชนในภาคเหนือตอนบนพบว่า มีป่าชุมชนตามประเพณีร้อยละ 15 ป่าชุมชนที่เกิดจากการริเริ่มท้องถิ่นร้อยละ 29 โดยมีป่าชุมชนที่เกิดจากการต่อต้านการแย่งชิงทรัพยากรจากภายนอกร้อยละ 41 และป่าชุมชนที่ได้รับการสนับสนุนจากภายนอกร้อยละ
16. การจัดการป่าชุมชน หมายถึงอะไร
ตอบ การจัดการป่าชุมชน หมายถึง การรวบรวมเอาหลักวิชาการสาขาต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ทางเทคนิค ทางเศรษฐศาสตร์ป่าไม้ และทางสังคมศาสตร์ มาใช้ดำเนินการในป่าชุมชน เพื่อผลในด้านการอนุรักษ์ การป้องกัน การปรับปรุงให้ดีขึ้น และให้ได้ผลผลิตสูงสุดและยั่งยืน
17. การจัดการป่าชุมชนในแต่ละพื้นที่จะต้องสอดคล้องกับสิ่งใดบ้าง
ตอบ 1. กรอบนโยบายตามแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 8 นโยบายรัฐบาล และนโยบายกรมป่าไม้
2. กรอบทรัพยากรป่าไม้ในป่าชุมชน
3. กรอบแนวคิดของชุมชน
4. กรอบปัญหา
18. ปัจจัยสำคัญในการวางแผนงานป่าชุมชน ต้องคำนึงถึงปัจจัยใดบ้าง
ตอบ ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อขจัดข้อบกพร่องล่วงหน้าและการปฏิบัติงานตามแผนได้อย่างราบรื่น ปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่
1. เหตุผลความจำเป็น (Reasonable) วางแผนงานเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องใด
2. ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (Data) เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผน
3. ปัจจัยในการบริหาร (Administrative resources) ได้แก่ คน เงิน วัสดุสิ่งของ และวิธีปฏิบัติ โดยกำหนดผู้รับผิดชอบในทุกขั้นตอนของแผนงานอย่างชัดเจนเพียงพอและเหมาะสม
4. ระยะเวลา (Scheldule) จัดทำปฏิทินเวลาดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมเพื่อเป็นแนวทางในการควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดขึ้น
5. อำนาจหน้าที่ (Authority) โดยความเห็นชอบของผู้มีอำนาจสูงสุดในองค์กร
6. การจัดทำแผนงานเป็นลายลักษณ์อักษร (Writing) เพื่อให้ทุกฝ่ายนำไปปฏิบัติและ ควบคุมการดำเนินงานเป็นไปในทางเดียวกัน
19. อธิบายข้อดีของการวางแผนงานป่าชุมชน
ตอบ ข้อดีของการวางแผนงานป่าชุมชน
การวางแผนงานป่าชุมชนเป็นข้อผูกพันของขั้นตอนการดำเนินงาน มิใช่ปล่อยไปตามความพอใจของผู้ปฏิบัติงานไม่ว่าระดับใดระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นการใช้เหตุผลไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึก
20. ประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมของการจัดการป่าชุมชมคืออะไร
ตอบ ประโยชน์ทางตรง ได้แก่ ไม้ ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกสร้างบ้านเรือนและทำ เครื่องเรือน เช่น เตียง ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ ใช้ทำเครื่องมือกสิกรรม เช่น แอก ไถ คราด ฯลฯ ใช้ใน กิจการประมง เช่น ทำเสาโป๊ะ ฯลฯ ใช้ในกิจการขนส่ง เช่น ต่อเรือ ต่อตัวถังรถบรรทุก เกวียน และไม้หมอนรถไฟ เป็นต้น นอกจากได้ไม้มาใช้ประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ยังจะได้ผลิตผลจากป่า ซึ่ง เรียกว่า “ของป่า” เช่น กลอย หัวมัน เห็ดต่าง ๆ สมุนไพร หวาย ไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ น้ำมันยาง ยางรัก ถ่าน ฟืน ฯลฯ เป็นต้น อีกด้วย
ประโยชน์ทางอ้อม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ช่วยป้องกันอุทกภัย ทำให้ฝนตกต้องตาม ฤดูกาล ป้องกันการพังทลายของดิน ช่วยทำให้ดินดี ช่วยป้องกันลมพายุ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจเป็นภูมิประเทศสวยงาม